Quantum Leap Project Wiki
Advertisement

3rd NIGHT : Twelve Years Ago – Revealing the Truth PART2[]

ทหารราวๆ 10 นายต่างก็ยืนนิ่งอยู่หลังเจ้าเมืองเพื่อรอคอยคำสั่ง ที่น่าแปลกใจคือ QL ยังคงเดินมาทางนี้เรื่อยๆ แต่ก็มาหยุดออกันแถวๆ ประตูหลังของปราสาท

“แบร่ ถ้าเราส่งหนังสือพวกนั้นในห้องลับให้เมืองหลวงดูล่ะก็ นายไม่รอดแน่” บ๊อกตะโกน

“โฮ่ ใครจะไปเชื่อเด็กประถมอย่างพวกแกกันฮึ  แล้วคิดหรอว่าเมืองหลวงจะมาสนใจอะไรกับไอ้แค่เรื่องโกหกแบบนี้”

“สนแน่ครับ” มาร์ชพูด

เจ้าเมืองเหล่ตาไปทางมาร์ชแต่ไม่พูดอะไร มาร์ชยิ้มให้อีกครั้ง

“ดังนั้น คำถามที่เหลืออยู่คือท่านโกหกไปเพื่ออะไร?ทำไมถึงต้องสร้างเรื่อง Noctosaur ให้คนหลบอยู่ในบ้านแล้วปิดไฟด้วยล่ะ?” “ประเด็นหนึ่งที่น่าคิดคือการที่คืนอุกกาบาตตก กับคืนแรกที่ Noctosaur โผล่ออกมานั้นคือคืนเดียวกัน... ทุกอย่างน่ะมันดูลงตัวกันเกินไปหรือเปล่า? มันเป็นความบังเอิญ หรือเป็นสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แล้วกันแน่?...”

“ผมลองคิดดูแล้วว่า ถ้าเกิดเป็นความบังเอิญ ผมก็จะต่อเรื่องไม่ถูกเลยว่า ทำไมท่านต้องทำเรื่องแบบนี้ขึ้น”

“แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แล้วล่ะ?... ถ้าท่านรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งว่าอุกกาบาตจะตกลงมาที่นั่นในคืนนั้นล่ะ?... เป็นไปได้มั้ยว่าสาเหตุที่ท่านต้องแต่งเรื่อง Noctosaur ขึ้นมานั้น... ก็เพื่อหลอกให้ชาวเมืองทุกคนอยู่ในบ้าน เพื่อไม่ให้มีใครรู้เรื่องอุกกาบาตนี่หรือเปล่า?

ที่อุกกาบาตนั่นมีอะไรสำคัญอย่างนั้นหรอ?จากข้อมูลที่ผมมีตอนแรก ผมก็คิดมาได้ถึงแค่นี้แหละครับ”

มาร์ชหยุดไปชั่วครู่ แล้วจึงพูดต่อ “จนกระทั่งผมได้ฟังเรื่องราวน่าสนใจจากเพื่อนใหม่ มาว่า... เมื่อปี X นั้น เคยมีการแก่งแย่งกันสำรวจอุกกาบาตลูกนั้นระหว่างเมืองหลวงกับคนกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าชัยชนะจะตกเป็นของคนกลุ่มนั้น ผมไม่รู้หรอกนะว่ามีอะไรอยู่ที่อุกกาบาตนั่น แต่ว่าต่อมาเมืองหลวงได้ถึงกับตราหน้าคนกลุ่มนั้นเป็นอาชญากรระดับต้องโทษประหาร แต่สมาชิกเพียงคนเดียวของกลุ่มนั้นที่เมืองหลวงรู้จักหน้าค่าตาก็ได้ตายไปแล้ว ทำให้คดีนี้ยังเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน และยังตามหาตัวกลุ่มอาชญากรนั้นไม่ได้เลย”

“ถ้าคิดจากข้อมูลนี้แล้วล่ะก็ เรื่องอุกกาบาตกับ Noctosaur มันก็ไม่น่าจะใช่ความบังเอิญ แต่เป็นแผนที่วางไว้แล้วใช่หรือไม่?... Noctosaur คือแผนการสำคัญ ที่ทำให้เรื่องอุกกาบาตไม่รั่วไหลออกไปสู่ชาวเมืองและรัฐบาล...” “ท่านเจ้าเมืองครับ... ท่านเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น ที่วางแผนแอบสำรวจอุกกาบาตในปี X ใช่หรือไม่?”

เจ้าเมืองยังคงไม่ตอบอะไร

“มาร์ช!! สต๊อปก่อน ถ้าเกิดว่าเรื่อง Noctosaur ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกที่แต่งขึ้น แล้ว... ไอ้ QL พวกนี้มันคืออะไรกันแน่อะ?? ยังงี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอุกกาบาตใช่มั้ยล่ะ??” บ๊อกถามขึ้น

“เกี่ยวสิ” “นี่คือกุญแจสำคัญของแผนเลยล่ะ”

“พวกนี้น่ะเป็น QL ที่อาศัยอยู่ในป่าทางตอนใต้ ที่ถูกเจ้าเมืองเรียกออกมาไงล่ะ”

“เพื่ออะไรกัน??”

“ถ้ายึดความคิดที่ว่ามานี้เป็นหลัก ก็น่าจะคิดต่อได้ว่า ท่านเจ้าเมืองคงล่อ QL ชนิดนี้ออกมาที่เมืองนี้ เพื่อผลประโยชน์สองประการ

ประการแรกคือ เป็นการสร้างความสมจริงให้แก่เรื่องโกหกนั้นใช่แล้วล่ะ... ถ้าแค่โกหกว่ามี QL เฉยๆ ล่ะก็ ชาวเมืองบางคนอาจจะไม่เชื่อ จึงต้องหาทางเรียก QL จริงๆ ให้เดินผ่านมาทางเมืองนี้ทุกปีไงล่ะ ผู้คนที่อาศัยอยู่ติดๆ กำแพงเมืองด้านในเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็จะเข้าใจว่าเป็นฝูง Noctosaur ที่อพยพขึ้นไปวางไข่จริงๆ”

ประการที่สอง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ ก็คือ เป็นการล่อให้ QL พวกนี้ที่คอยเฝ้ารังออกมาห่างจากป่าทางใต้ เพื่อที่พวกท่านจะได้เข้าไปสำรวจอุกกาบาตได้ง่ายขึ้นยังไงล่ะ”

“นี่น่ะหรอสาเหตุที่แท้จริงของเทศกาลแห่งความมืด”

บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น ทุกคนเงียบไปชั่วขณะและได้แต่มองหน้ากัน เจ้าเมืองแม้จะไม่พูดอะไรออกมาแต่ก็ดูรู้ว่ากำลังโกรธและสับสนสุดๆ เป็นแน่ แต่มาร์ชก็ไม่หวั่นที่จะพูดต่อ

“แต่ทีนี้ก็จะเกิดคำถามตามมาอีกว่า ถ้าแต่งเรื่อง Noctosaur เพียงเพื่อไม่ให้ชาวเมืองออกไปเห็นอุกกาบาต งั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องให้มีการหลบอยู่ในบ้านในปีต่อๆ มานี่นา” มาร์ชพูดต่อ “แถมไม่จำเป็นต้องเรียก QL พวกนี้ออกมาทุกปีๆ ด้วย”

“แสดงว่าน่าจะมีผลประโยชน์อย่างที่สามซ่อนอยู่สินะครับ...”

“ปราสาทของท่านน่ะอยู่ทางทิศเหนือของเมืองนี้พอดีเลย ต่อให้มีคนแอบปีนกำแพงขึ้นมาดู ก็จะเห็นแต่เพียงว่า QL พวกนี้เดินมาจากทางใต้ อ้อมเมืองนี้โดยเลาะไปตามกำแพงทางตะวันออก ไปทางเหนือของเมือง แต่จะไม่มีได้ใครเห็นเลยว่า QL กลุ่มนี้ ไม่อาจเดินพ้นทางเหนือของเมืองนี้ไปได้... ด้านหลังของท่านน่ะคือประตูหลังของปราสาทสินะครับ เห็นมั้ยล่ะครับว่า พวก QL มันมาออกันอยู่... ก็เพราะว่าท่านล่อมันออกมาเพื่อจับใช่มั้ยล่ะครับคุณเจ้าเมืองผู้รับส่ง QL ผิดกฎหมาย

เจ้าเมืองเงียบไปสักพักหนึ่ง แล้วเขาก็หัวเราะขึ้นดังลั่นอย่างน่ากลัว เฟนหลบไปอยู่ข้างหลังมาร์ช

“เก่งมากเลยนี่หว่าพวกแก คุ้มจริงๆ ที่ฟังจนจบ” “ใช่ ฉันหลอกคนมา 10 กว่าปีแล้ว เพิ่งมีแกคนแรกนี่แหละที่มองออก ฮ่าๆๆๆๆ”

“ท่านไม่รู้หรอว่าที่ท่านเรียก QL เข้ามาใกล้ๆ เมืองน่ะมันอันตรายมากเลยนะคะ แถมยังสร้างความเดือนร้อนให้แก่ชาวเมืองทุกปีๆ อีก” เฟนตะโกน

“แล้วไง ก็ชาวเมืองมันอยากโง่ให้โดนหลอกเองนี่หว่า ฮ่าๆๆๆๆๆ”

“ท่านมีสิทธิมาว่าคนอื่นโง่อย่างงั้นหรอ?” มาร์ชตัดเสียงหัวเราะของเจ้าเมืองออกไป “แผนของท่านน่ะฉลาดมากก็จริง... ว่าแต่ว่า... ท่านเป็นคนคิดเองหรือเปล่าล่ะ?”

เจ้าเมืองเพ่งสายตาไปที่มาร์ช

“ดูจากคำแก้ตัวที่เลอะเทอะของท่านเมื่อกี๊แล้ว ผมไม่คิดว่าท่านฉลาดพอที่จะสร้างแผนนี้ขึ้นมาเองหรอกนะ หรือว่าผมพูดผิด?”

“ถ้าจะให้เดา คนที่คิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นคงจะเป็นนักวางแผนที่ฉลาดมากๆ ในกลุ่มอาชญากรนั้นน่ะแหละ กลุ่มนั้นต้องการเพียงแค่การสำรวจอุกกาบาต เลยมาทำการเจรจากับท่านโดยคิดแผนค้าขาย QL นี้ให้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ทีนี้ก็จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ใช่หรือเปล่าครับ”

“เฮอะๆ แกนี่ก็ไม่เบาเหมือนกันแฮะ...” เจ้าเมืองหลับตาและยิ้มขึ้น “แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ไม่ฉลาดเอาเสียเลย...” เขาชักดาบออกมา ที่ปลายดาบยังมีคราบเลือดของทหารหนุ่มคนเมื่อกี๊อยู่ “จริงๆ ชั้นควรจะถามพวกแกนะ ว่าจะช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้หรือไม่... แต่พวกแกทำถึงขนาดนี้ก็คงจะตอบว่าไม่ อยู่แล้วสินะ...”

“แหงสิ!!” บ๊อกตะโกน

“แต่ขอถามอย่างหนึ่งหน่อยสิว่า ทำไมพวกแกต้องลงทุนทำขนาดนี้ เปิดโปงความจริงแล้วได้อะไรกัน หรือว่าต้องการจะเอาเรื่องนี้มาแบล็คเมลล์อะไรจากชั้นอย่างงั้นหรอ?”

“แบล็คมงแบล็คเมลล์อะไร เราแค่มาแฉเรื่องของคุณต่างหาก” บ๊อกตะโกนกลับ

“โฮ่... แฉให้ชั้นฟังเนี่ยนะ แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ”

“ฮะๆๆ” มาร์ชยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย “ใครบอกว่าเราแฉให้คุณฟังล่ะ”

“หะ??”

“เอาเลยครับ!!!” มาร์ชตะโกนไปทางกำแพงเมืองตะวันออกที่อยู่ด้านซ้ายมือ

ทันใดนั้นเอง เจ้าเมืองก็ได้เห็นภาพที่ทำให้ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ภาพอันเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดลงของเรื่องโกหกแห่งทศวรรษ

แสงไฟจากตะเกียงนับร้อยสว่างขึ้นพร้อมกันบนยอดกำแพงเมือง ดวงไฟเรียงยาวไปจนสุดปลายกำแพง ความสว่างสาดส่องลงมาที่พื้นด้านล่าง เด็กทั้งสองยิ้มขึ้นและมองหน้ากัน บ๊อกตะโกนด้วยความตื่นเต้น ไม่เป็นที่น่าแปลกใจอีกแล้วที่ “Noctosaur” ยังคงเดินไปเดินมาอย่างสงบเสงี่ยม สายตาที่ชินกับความมืดของเจ้าเมืองค่อยๆ เริ่มมองเห็นทีละน้อย พร้อมกับที่เขาเริ่มได้ยินเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจากชาวเมืองแคลวอราที่ยืนเรียงรายอยู่บนกำแพงเมือง

มาร์ชโบกมือให้ผู้ที่ยืนอยู่ปลายสุดของกำแพงฝั่งที่ใกล้ตัวที่สุด ปู่ของเขานั่นเอง ปู่ออสตันกำลังยืนเช็ดแก้วอยู่บนกำแพง เขามองมาที่มาร์ชแล้วชูแก้วขึ้น เฟนก็เห็นพ่อของตนยืนถือตะเกียงอยู่ในฝูงชน เธอยิ้มให้เขา

“ต... ตะ... ตั้งแต่เมื่อไรกัน” เจ้าเมืองยังคงยืนงงและทำอะไรไม่ถูก โดยที่ยังคงถือดาบอยู่ในมือ

“ก็คงตั้งแต่ ‘ฉันไม่เป็นไรหรอก ไม่เห็นหรอ มีทหารมาด้วยเพียบเลย’ ล่ะมั้งครับ อะฮิๆๆๆๆ”

“ละ แล้วทำไมทหารบนนั้นหายไปไหนหมด???”

“อ้อ ตอนนี้คงออกันอยู่ที่กำแพงอีกฝั่งมั้งครับ”

[แทรกฉากกำแพงฝั่งตะวันตกมีทหารยืนเบียดๆๆ กัน]

“แก!! หลอกพวกเรามา 10 ปีเลยเรอะ” “ออกไปจากเมืองนี้ซะไอ้คนลวงโลก!!” “ไปตายซะ!!” “ไอ้เจ้าเมืองขยะ” เสียงโห่ร้องจากชาวเมืองเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

“เอาล่ะครับ ทีนี้ใครกันแน่ล่ะที่ซวย” บ๊อกพูดพลางหัวเราะ

ในที่สุด เจ้าเมืองก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว เจ้าเมืองที่ขาดสติก็ได้เงื้อดาบขึ้นมา หมายจะฟันไปที่บ๊อก

“บ๊อก!! หลบเร็ว”

ชาวเมืองหลายคนบนยอดกำแพงกรีดร้องขึ้น ชายคนหนึ่งทำท่าจะกระโดดลงมาช่วย แต่เสียงกรีดร้องก็ได้เงียบลงกลายเป็นเสียงแสดงถึงความประหลาดใจ เมื่อทหารคนหนึ่งในกองทหารได้วิ่งออกมาคว้าแขนขวาของเจ้าเมืองเอาไว้ได้ก่อนที่ดาบในมือนั้นจะฟันลงไปที่บ๊อก “ก... แก ทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ!!”

“ดูเหมือนว่าผมจะได้ของฝากให้เมืองหลวงเพิ่มขึ้นอีกอย่างแล้วสิครับ คุณเจ้าเมือง” น้ำเสียงที่นิ่งจนฟังดูน่ากลัวดังมาจากด้านหลัง แสงจากตะเกียงส่องให้เห็นว่าภายใต้หมวกเหล็กนั้นไม่ใช่ใบหน้าของทหารที่เจ้าเมืองคุ้นเคย แต่เป็นใบหน้าของชายหนุ่มจากเมืองหลวงคนนั้น

“กะ... แก... อะไรกันเนี่ย” เจ้าเมืองพูดเสียงสั่น

[ตัดมาเป็นฉากเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา ชายในชุดทหาร (= คราส) ตะโกนบอกทหารประจำกำแพงตะวันออกและใต้ให้ย้ายไปกำแพงตะวันตก เขาเดินเข้าไปในบาร์ออสตัน ขอความร่วมมือคนในบาร์ให้ช่วยกันบอกต่อๆ กัน ให้ขึ้นไปเป็นพยานที่กำแพงตะวันออกในคืนนี้ ตอนแรกไม่มีใครเชื่อ ทุกคนต่างถามว่าแกเป็นใคร

“เขาชื่อคราส เป็นผู้ตรวจการมาจากเมืองหลวงน่ะครับ” มาร์ชเดินเข้ามา

“ม... มาร์ช” ปู่เรียกขึ้น

“ช่วยฟังเรื่องที่ผมขอร้องต่อไปนี้หน่อยเถอะครับ มันเกี่ยวพันกับผลประโยชน์และอนาคตของเมืองนี้นะครับ”

เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตก ฉากนี้มาร์ชก็ได้อธิบายทุกอย่างเสร็จแล้ว คราสลามาร์ชออกมาจากบาร์ รีบกลับไปที่ปราสาท เดินขึ้นไปสำรวจชั้นบนสุดของปราสาทแต่ไม่พบอะไรผิดปกติ เขาเดินกลับลงมาและสวนกับทหาร ก. และ ข. ตรงบันได “เจ้าเมืองไม่อยู่ที่ห้อง ทางเชื่อมไปประตูหลังปิดอยู่ คงเป็นตรงนั้นตามที่ว่าแหละ” “รับทราบ” คราสตรงไปที่ประตูหลังและปะปนเข้าไปกับกลุ่มทหาร]

“ผ... ผู้ตรวจการ ตอนชั้นลงมาแกยังอยู่ในห้องไม่ใช่เรอะ???” เจ้าเมืองถาม

“อ้อ... นั่นน่ะเหรอ... ไม่รู้ว่าป่านนี้ตื่นหรือยังนะ ยามเฝ้าเขื่อนคนนั้นน่ะ”

[แทรกภาพของทหารเฝ้าเขื่อนในชุดของชายหนุ่มที่กำลังนั่งสลบอยู่ที่เก้าอี้ในห้อง]

“ฮึ่ย!!” เจ้าเมืองสลัดหลุดออกจากมือของชายหนุ่มและวิ่งไปทางปราสาท “ทหาร จัดการไอ้หมอนั่นซะ เด็กๆ ด้วย”

ทหารนับสิบคนพุ่งไปทางชายหนุ่มและเด็กๆ

“โฮ่ ได้เหนื่อยหน่อยล่ะงานนี้” ชายหนุ่มชักมีดสั้นออกมาจากกระเป๋า

“พ... พี่เอาอยู่ใช่มั้ยคะ” เฟนถาม พลางเดินถอยหลังหนีจากทหารที่โอบล้อมเข้ามา

“พวกเธอถอยออกไปห่างๆ ละกัน”

3rd NIGHT : The Key of Unity[]

เจ้าเมืองวิ่งไปจนถึงประตูปราสาท ประตูนั้นมีขนาดใหญ่จน QL ชนิดนี้สามารถเดินผ่านได้สบายๆ เขาผ่านประตูเข้าไป ด้านในเป็นทางเดินยาวที่ผนังด้านข้างเปิดออกมาได้ หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่รู้เลยว่ามีห้องอยู่หลังผนังนั้น

ตามทางเดินยาวมีทหารยามนอนเกลื่อนกลาด “นะ... นี่มันอะไรกันเนี่ย” เจ้าเมืองปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกแล้ว เขารีบเข้าไปในห้องด้านหลังผนังนั้น ห้องนี้เป็นมีเพดานสูงขึ้นไป ภายในมีกรงขนาดใหญ่หลายร้อยกรงเรียงรายอยู่สองข้างทางราวกับเขาวงกต ข้างในแต่ละกรงมีร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของ QL  ที่ถูกใส่ปลอกคอและถูกล่ามเท้าเอาไว้ ด้านหน้ากรงมีถาดอาหารและน้ำที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก ทหารยามหลายคนสลบอยู่ที่พื้น

ที่กลางห้องมี QL 4-5 ตัวถูกจับขึงเท้าทั้ง 4 ข้างไว้บนแท่น พวกมันกำลังร้องครวญคราง ข้างๆ มีโต๊ะที่วางยาประหลาดไว้หลายชนิด และผู้ที่เจ้าเมืองเห็นอยู่ข้างโต๊ะนั้น ก็คือเด็กหญิงจากเมืองหลวง พร้อมกับนายทหาร ก. และ ข. ที่กำลังตรวจสอบสภาพ QL เหล่านั้น พวกเขาหันมาทางเจ้าเมือง “จับไว้เยอะเหมือนกันนี่คะ ท่านใช้เสียงร้องของไอ้ 5 ตัวนี้เรียกตัวอื่นๆ ในป่าขึ้นมาสินะคะ พวกมันกำลังร้องอยู่ แต่ว่าพวกเราไม่ได้ยินเสียงอะไร คงจะเป็นเสียงคลื่นความถี่สูงล่ะมั้ง?”

“ทำห้องขังไว้หลังผนังนี่เอง มิน่าถึงรอดสายตาผู้ตรวจการคนก่อนๆ มาได้ตั้งสิบกว่าปี” นายทหาร ข. แทรกขึ้น

“พ... พวกแกหาห้องลับนี้เจอได้ยังไงกัน?”

“ก็นะ ปกติผู้ตรวจการจากเมืองหลวงที่มาเป็นประจำทุกเดือน 2 กับเดือน 8 จะเข้าเมืองนี้ทางประตูหลังปราสาทนี่คะ แต่ตอนพวกเรามา ท่านกลับให้ใช้ประตูหลักด้านหน้าแทน แสดงว่าที่ประตูหลังต้องมีอะไรสักอย่างที่ให้พวกเราเห็นไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ พอเรามาแบบไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ท่านเลยไม่ทันได้เตรียมพร้อมสินะคะ”

“บ้าน่ะ... แต่ชั้นล็อกทางผ่านมาที่นี่แล้วนี่นา”

“มีคนปลดล็อกประตูนั่นให้น่ะ”

“หรือว่า ไอ้ผู้ตรวจการนั่น?...”

“แกไม่มีอะไรจะเสียแล้วใช่มะ งั้นมากับพวกเราหน่อยละกัน”

“ชิ!!” เจ้าเมืองวิ่งไปที่ซอกซอกหนึ่งที่มีกรงขังขนาดใหญ่กว่ากรงอื่นๆ ในกรงเป็น QLที่สูงกว่า 4 เมตรจนเกือบชิดเพดานห้อง

ทหาร ก. และ ข. วิ่งตามมา “แกคิดจะทำอะไรน่ะ”

“ก็อย่างที่แกบอกน่ะแหละ ชั้นคงไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว” เจ้าเมืองไขประตูกรงออก เขาหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา

“ย... ยิงเขาซะ” ทหาร ข. ตะโกน

ทหาร ก. ชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่ขาของเจ้าเมือง เจ้าเมืองล้มลง แต่สายไปเสียแล้ว เข็มฉีดยาได้ปักเข้าไปที่ต้นขาของ QL ยักษ์ตัวนั้น

“เร็ว!! รีบปิดประตูกรง” พวกเขาพุ่งตัวไปทางกรง ลากตัวเจ้าเมืองออกมา ขณะที่นายทหาร ข. กำลังจะคล้องกุญแจไปที่กรง ตาของ QL ตัวนั้นก็ได้กลายเป็นสีแดง น้ำลายของมันไหลยืดออกมา พร้อมกับเสียงร้องที่บ้าคลั่ง

อ่านต่อ chapter ถัดไป
Advertisement